ว่ากันว่า “ฝ้า” กับ “สิว” คือ สองสิ่งที่ผู้หญิงเราเกลียดและกลัวที่สุด ขยะแขยงมากหากสองเกลอนี้ผุดขึ้นบนใบหน้า ในโอกาสฤดูร้อนแดดแรงจัดเช่นนี้ เราขอมาล้วงลึกเรื่อง “ฝ้า” กันดีกว่าค่ะ
ว่าแท้จริงแล้วมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง ทำไมรักษาแล้วไม่ยักกะหายขาด มีวิธีไหนเจ๋งๆ ในการรักษาให้ได้ผลที่สุด เหนืออื่นใด ควรป้องกันดูแลตัวเองอย่างไรให้ใบหน้าไม่ขึ้นฝ้า
ขอบคุณ. http://www.celeb-online.net
“ฝ้ากระเกิดจากการกระตุ้นการสร้างเม็ดสี ซึ่งมีหลายสาเหตุด้วยกัน” นพ.กฤต ศิริมหาราช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก เดอมาสเตอร์ (Dermaster) กล่าวถึงสาเหตุของฝ้าและกระ ก่อนเจาะลึกเรื่องฝ้า
ฝ้าต่างจากกระ เพราะฮอร์โมน
“แต่ส่วนใหญ่ที่เจอกันในเมืองไทยมักเป็นแสงแดดและความร้อน
ถ้าเป็นกระ ส่วนใหญ่เกิดจากแสงแดด ความร้อน และอายุ แต่กรณีฝ้ามักจะมีปัจจัยฮอร์โมนเข้ามาค่อนข้างเยอะ”
คุณหมอกฤต ยอมรับว่าถ้าสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ โอกาสฝ้ากระย่อมกลับมาเกิดซ้ำสูงมาก และปริมาณอาจเท่าเดิมหรือลดกว่าเดิมนิดหน่อย จึงไม่คุ้มกับการทุ่มเงินเสียเวลารักษา
“เวลาฮอร์โมนเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอย่างรวดเร็ว อย่างเช่น ตั้งครรภ์ ไม่ใช่ฮอร์โมนเพิ่มขึ้นเท่านั้น บางครั้งการที่ฮอร์โมนลดลงอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน อย่างช่วงเข้าสู่วัยทอง วัยหมดประจำเดือน ก็มีฝ้าขึ้นได้เหมือนกัน”
สมัยก่อนมุ่งทำลายเม็ดสี เป็นซ้ำมากกว่าเดิม ดำกว่าเดิม
“การรักษาฝ้าเมื่อก่อนใช้วิธีจัดการทำลายเม็ดสีที่ถูกสร้างขึ้นมา ด้วยวิธีขูดลอกผิวบริเวณที่มีเม็ดสี ถ้าขูดลอกได้ดีก็ไม่เป็นแผลเป็น แต่ถ้าบังเอิญ คุณหมอทะเลาะกับภรรยาที่บ้านมา อารมณ์หงุดหงิด เกิดแผลเป็นผิดพลาดได้”
คุณหมอกฤต บอกว่าตอนนั้นยังไม่มีวิวัฒนาการการใช้เลเซอร์
“พอมีเลเซอร์ ยุคแรกๆ ก็ยังใช้หลักการเผาทำลายผิว เหมือนกับขูด เพียงแต่ว่าความแม่นยำแน่นอนสูงขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความผิดพลาด ไม่เกิดแผลเป็นขึ้นมาได้
ต่อมามีวิวัฒนาการดีขึ้นกว่าเดิมอีก ความแน่นอนของการขูดลอกดีขึ้นอีก แต่แนวการวิธีการขูดลอก เราพบว่าโอกาสที่กลับมาเป็นอีกค่อนข้างเยอะ และบางครั้งกลับมาเป็นซ้ำค่อนข้างรวดเร็ว เพราะว่าในการใช้เลเซอร์ ต่อใช้เป็นเลเซอร์ที่มีความแม่นยำในการขูดลอกอยู่สูงมาก ผิวที่ถูกขูดลอกไป ก็ยังเป็นชั้นที่ปกป้องผิวหนัง เมื่อไรที่ขูดลอกออกไปปุ๊บ ชั้นผิวหนังที่ถูกขูดลอกจะหายไป มันจะบางไปชั่วระยะหนึ่ง บางคนประมาณ 3 อาทิตย์ ถึง 6 เดือน เพราะฉะนั้นถ้าดูแลตัวเองไม่ดีในช่วง 6 เดือนแรก ก็มีโอกาสจะกลับมาเป็นซ้ำ
และเราพบว่าการเป็นซ้ำมากกว่า 80% ใหญ่ขึ้นแน่ๆ เพราะการที่เอาเลเซอร์ไปตัด เราไม่สามารถตัดพอดีเป๊ะกับฝ้า เรามักตัดให้กว้างกว่าเสมอ อาจ 1/2 มม. หรือ 1 มม. ซึ่ง 1/2 มม. หรือ 1 มม. ทุกครั้งที่เราทำ มันก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อย แต่ที่เราพบแน่ๆ คือ จะดำขึ้นกว่าเดิม”
ต่อมาจัดการตัวสร้างเม็ดสีด้วย แต่กระดำกระด่าง
นอกจากทำลายเม็ดสีแล้ว ยังมีความพยายามจัดการกับตัวทำสร้างเม็ดสีด้วย
“พบว่าในขณะจัดการกับตัวสร้างเม็ดสี เราไม่สามารถจัดการกับมันทั้งหมดได้ ส่วนหนึ่งถูกทำลายทิ้งไปจริง อีกส่วนหนึ่งยังคงอยู่ ผลที่ได้เหมือนจะดีขึ้น แต่ภาพที่เห็นกลับแย่ลงกว่าเดิม เพราะว่ากลายเป็นกระดำกระด่าง โดยเฉพาะคนผิวเข้ม เวลามาทำลาย ก็จะกลายเป็นดวงขาวๆ
วิธีนี้ทำกันเมื่อสัก 10 กว่าปีที่แล้ว ทำกันค่อนข้างเยอะ ก็สร้างปัญหาตามมามหาศาลมาก จนกระทั่งหมอส่วนใหญ่เลิกใช้วิธีนี้ไปแล้ว เหลือแค่หมอกลุ่มเล็กๆ ที่พยายามดิ้นรนใช้วิธีนี้อยู่”
ปัจจุบันนิยมรักษาด้วยเลเซอร์ชนิดเดิม แต่เปลี่ยนวิธีการยิง
คุณหมอกฤต เล่าให้ฟังว่าวิธีรักษากระฝ้าในปัจจุบันที่นิยมที่สุดคือ
“ทำลายเม็ดสีแค่บางส่วนในแต่ละครั้ง โดยเลเซอร์ชนิดเดิม แต่ปรับเปลี่ยนวิธีการยิงเข้าไปในผิว ให้มันไปตกกระทบที่ตัวเม็ดสีให้เม็ดสีแตกออก พอมันแตกออกมันก็เสียสภาพ ฝ้าค่อยๆ จางลงทีละน้อยๆ
วิธีการนี้ไม่ลึกไปถึงขนาดทำลายตัวสร้างเม็ดสี เซลล์สร้างเม็ดสียังเท่าเดิม แต่เราทำลายมากกว่าที่มันสร้าง ฝ้าก็จางลง แต่กรณีคนที่มีเซลล์สร้างเม็ดสีถูกเยอะๆ เราทำลายไม่ทัน เพราะเลเซอร์มันมีข้อจำกัดในการยิง เวลาจะยิงแต่ละครั้งต้องมีระยะเวลาห่างพอสมควร ไม่ใช่ยิงกันได้ทุกวันทุกสัปดาห์”
ดังนั้น วิธีรักษาฝ้ายอดนิยมดังกล่าวจึงไม่เหมาะกับคนที่มีฝ้าบนใบหน้าเยอะๆ
วิธีการรักษาเจ๋งสุด บูรณาการหลากหลายนวัตกรรม
คุณหมอกฤต เผยว่าแท้จริงๆ แล้ว ปัจจุบันมีนวัตกรรมการรักษาฝ้าหลากหลายวิธี ซึ่งแนวทางแจ่มเจิ่ดเริ่ดสุด ไม่หวั่นแม้ฝ้าเกรอะเต็มหน้า คือ บูรณาการทุกนวัตกรรมเข้าไปรักษาตามอาการของแต่ละคน อาทิ
“มีงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า บริเวณที่เป็นฝ้า(รวมทั้งกระด้วย) ข้างใต้ผิวนั้น มี VEGF” ย่อมาจาก Vascular Endothelial Growth Factor
“ก็ปรากฏว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเลเซอร์ตัวหนึ่ง ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่าเป็น Copper-Bromide (เป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน) เลเซอร์สีเหลือง สามารถไปลดสาร VEGF ได้ มีผลงานพิสูจน์แล้วว่าพอสารนี้ลดไปแล้ว เส้นเลือดที่งอกมาตรงนั้นลดลงไปจริง ก็เป็นกระบวนการใหม่ นอกจากลดฝ้าที่ถูกสร้างมาแล้ว เรายังลดการสร้างเม็ดฝ้าด้วยในขั้นตอนเดียวกัน”
ไม่เพียงเลเซอร์สีเหลืองเท่านั้น ยังมีทั้งการฉีดยา ไฮโดรควิโนน และสเต็มเซลล์ ฯลฯ
“ถ้าลดการสร้างฝ้าอย่างเดียว มันก็จางลงได้ หรือทำลายฝ้าอย่างเดียว มันก็จางลงได้ แต่ถ้าเราทั้งลดการสร้างและทำลายเม็ดสีที่เกิดขึ้นแล้ว มันก็ยิ่งดี หลังๆ ก็พบยาบางตัวสามารถลดการสร้างฝ้าได้ ก็ใช้แค่ยาฉีด ส่วนในการทำลาย เราจะใช้เลเซอร์เป็นหลัก ปกติจะทิ้งช่วงยิงเลเซอร์ประมาณ 2-4 สัปดาห์ แล้วแต่วิธีการยิงของหมอแต่ละท่าน กับแต่ความรุนแรงของฝ้าที่เกิดขึ้นด้วย”
ยาทาฝ้าตัวหลักที่ใช้กันคือ ไฮโดรควิโนน เป็นสารที่ยับยั้งเอนไซม์ทำให้การผลิตเม็ดสีน้อยลง
“ตัวไฮโดรควิโนนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง จริงๆ แล้ว ตัวไฮโดรควิโนนพัฒนาเพื่อรักษาโรคสมองบางโรค แต่ว่าเมื่อสมัยที่เค้าพัฒนายาตัวนี้ขึ้นมา เรายังไม่รู้จักคิวเทน คิวเทนเป็นสารใหม่ที่รู้จักเมื่อไม่ถึงสิบปีที่แล้วนี่เอง เราเพิ่งมาพบว่าตัวโครงสร้างของไฮโดรควิโนน คล้ายคิวเทนมากๆ ทำงานเหมือนเป๊ะ แต่ประสิทธิภาพดีกว่าสิบเท่า เพราะฉะนั้นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายเรา ตัวไฮโดรควิโนนแรงที่สุดแล้ว”
คุณหมอกฤต บอกว่าทั่วโลกใช้ไฮโดรควิโนน ถูกใช้ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านครั้ง และยังไม่เคยมีรายงานว่าเกิดผลข้างเคียง แสดงว่าปลอดภัย
“ตอนหลังวิวัฒนาการทางการแพทย์มุ่งเรื่องสเต็มเซลล์ ก็พบว่ามีการฉีดให้กับคนที่ต้องการรักษาผิวพรรณ ให้เหมือนกับว่าย้อนวัย ฝ้าก็จะดีตามขึ้นมาด้วย มีวิจัยว่าช่วยลดฝ้าได้จริง ทดลองกับคนที่ไม่ได้ต้องการย้อนวัย ต้องการรักษาฝ้าอย่างเดียว สเต็มเซลล์ก็ช่วยได้เหมือนกัน สเต็มเซลล์จากรกของเด็กที่เพิ่งคลอด หรือในกลุ่มที่ต้องการสเต็มเซลล์จากผิวหนังจริงๆ เลย ก็ใช้สเต็มเซลล์จากผิวหนังแกะ”
ไอร้อนจากเตา รังสีหน้าจอคอมพ์ ก็เป็นเหตุแห่งฝ้า
แม้สมัยนี้มีวิวัฒนาการการรักษาฝ้าที่ได้ผลมากขึ้น ทว่าสิ่งสำคัญ สาวๆ ต้องไม่ลืมดูแลป้องกันตัวเองจากปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า อย่าง แสงแดด ไอร้อน และแม้กระทั่งรังสีจากหน้าจอคอมพิวเตอร์
“ที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ฮอร์โมน” คุณหมอกฤตพูดตรงๆ
“วิธีการปกป้องตัวเองจากแสงแดดง่ายมากๆ คือ ครีมกันแดด แนะนำให้ใช้ที่ค่า SPF มากกว่า 45 ขึ้นไป อยู่ได้ 8-10 ชั่วโมงขึ้นไป ก็เพียงแล้วสำหรับหนึ่งวัน
ไอร้อนด้วย ผมมีพี่พยาบาลที่สนิทกันต้องทำกับข้าวสามมื้อให้ครอบครัวกิน รักษาฝ้าอย่างไรก็ไม่หาย ก็บอกความร้อนมีผลนะพี่ แกก็ไปจัดการแกเอง ด้วยการใส่หน้ากากอนามัยขณะทำกับข้าว ปรากฏว่าฝ้าดีขึ้นเลย ใช้เวลาไม่นานเลย จำได้ประมาณหนึ่งเดือนเอง ฝ้าหายเลย
รวมทั้งหน้าจอคอมพ์ด้วย คือ เราไม่ค่อยตระหนักกัน เมื่อก่อนเราใช้จอแก้ว ว่ากันว่ามีรังสีเยอะ ก็มีการป้องกัน พัฒนาเป็นจอ LCD ขึ้นมา บอกรังสีน้อย แต่มันไม่ได้น้อยจนไม่มีผลนะครับ มันแค่น้อยกว่าจอแก้ว
ผมเจอโดยตรง คนไข้เป็นโบรกเกอร์ เจอเจ็ดจอล้อมทั้งวัน รักษาสามปีแล้วก็ไม่หาย พอเอาฟิล์มไปกันหน้าจอ สองเดือนดีขึ้นเลย”
คุณหมอกฤต จึงฝากเตือนถึงบรรดาคอซีรีย์เกาหลีทั้งหลาย
“แม่บ้านต้องระวัง อยู่บ้านไม่มีอะไรทำ นั่งดูซีรีย์ทั้งวันผ่านคอมพ์ ไม่ว่าจะคอมพ์แบบไหน ตัวจอมีรังสีชนิดเดียวกันหมดครับ”
ขอบคุณ ASTVผู้จัดการออนไลน์ By Lady Manager
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น